วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม

"10 บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
11
 เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
12 จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน" (มัทธิว 
5:10-12)


ถ้าเราถูกข่มเหง เพราะว่าเราชอบธรรม และโดนเหม็นหน้า หรือหมั่นไส้
"20 เพราะจะเป็นความดีความชอบอย่างไรถ้าท่านทำความชั่ว และท่านถูกเฆี่ยนเพราะการกระทำชั่วนั้น แม้ท่านจะอดทนต่อการถูกเฆี่ยนด้วยความอดกลั้น แต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายกระทำการดีและทนเอาเมื่อตกทุกข์ยาก เพราะการดีนั้น ท่านก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า
21 เพราะพระเจ้าทรงใช้ท่านสำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ เพราะว่าพระคริสต์ก็ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ให้เป็นแบบอย่างแก่ท่านเพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์" (1เปโตร 2:20-21)
หลายคน จะโดนกลั่นแกล้ง เพราะว่ามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นสัจธรรม ดังเช่น คนอธรรม จะไม่พอใจคนชอบธรรมเสมอ ดังนั้นถ้าเราโดนเกลียดชัง เราจะต้องไม่แปลกใจ เพราะเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเสมอ เพราะโลกจะเป็นเช่นนี้แหละ
"คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่าน เพราะความภักดีที่ท่านมีต่อเรา แต่ผู้ใดที่ทนได้ถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด" (มัทธิว 10:22)
แต่พระเยซูทรงบอกว่า เมื่อเราถูกข่มเหง ให้เราชื่นชมยินดี แทนที่จะรู้สึกขมขื่น เพราะเราจะได้บำเหน็จอย่างแน่นอน
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ในวิถีทางของพระเจ้า เราจะเป็นสุขเสมอ 
ถ้าเราโดนข่มเหงโดนไม่ทราบสาเหตุ เราก็จะเป็นสุข เพราะว่าเราโศกเศร้า และได้รับการปลอบประโลม 
ถ้าโดนข่มเหงเพราะข่าวประเสริฐนั้น ก็จะเป็นสุข เพราะว่าจะได้บำเหน็จ 
แม้กระทั่งถ้าเราทุกข์ โดนข่มเหงเพราะความผิดของเรา เราก็จะเป็นสุขได้เช่นเดียวกัน เพราะว่าเราจะรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ และแผ่นดินสวรรค์จะเป็นของเรา

              by  http://www.followhissteps.com/web_christianstories/Sermons/mountain1.html 


ผู้ที่สร้างสันติ

"บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร " (มัทธิว 5:9)

ลูกของพระเจ้า ต้องเป็นลูกแห่งสันติภาพ  ดังนั้นคนที่ทะเลาะกับผู้อื่นประจำนั้น ย่อมต้องพิจารณาตนเองให้ดี  เราผู้เป็นคริสเตียนจะต้องตระหนักให้ดีว่าเราไม่ควรทะเลาะกับผู้ใดเลย ต้องหว่านสันติ
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ "ลิ้น" ดังที่อาจารย์ยากอบได้กล่าวเอาไว้ ว่าถ้อยคำนั้น สำคัญมาก สามารถทำให้คนฆ่ากันตาย ทำร้ายกันได้ ดังนั้น คริสเตียนจะต้องระมัดระวังคำพูดให้ดี  โดยเฉพาะเวลาถูกด่า เราจะต้องใคร่ครวญ ระมัดระวัง ว่าจะพูดอย่างไรที่จะระงับความโกรธนั้นได้ เพื่อเราจะได้เป็นผู้สร้างสันติ
"5 ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็ก ๆ และอวดอ้างเรื่องใหญ่ ๆ จงดูเถิด ไฟนิดเดียวอาจเผาป่าใหญ่ให้ไหม้ได้หนอ
6 และลิ้นนั้นก็เป็นไฟ ลิ้นเป็นโลกที่ไร้ธรรมในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายมลทินไปทำให้วัฏฏะแห่งชีวิตเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟโดยนรก
7 เพราะสัตว์เดียรัจฉานทุกชนิด ทั้งนก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ในทะเลก็เลี้ยงให้เชื่องได้ และมนุษย์ก็ได้เลี้ยงให้เชื่องแล้ว
8 แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่ว ที่อยู่ไม่สุขและเต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย
9 เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์
10 คำสรรเสริญและคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น" (ยากอบ
 3:5-10)
ละครสมัยนี้ มักจะปลูกฝังให้เราโต้ตอบ ดังนั้นจะต้องระมัดระวังให้ดี เพราะสื่อเหล่านี้ จะปลูกฝังถ้อยคำที่จะก่อให้เกิดการทำร้ายจิตใจกัน และกำลังทำลายชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา เราจะต้องฝึกฝนให้ดีเกี่ยวกับการพูดโต้ตอบต่าง ๆ เพื่อให้ฝังเข้าไปในชีวิต และจะทำสิ่งต่าง ๆ ที่พอพระทัยพระเจ้า เพราะในวินาทีเหล่านั้น อาจจะไม่มีเวลาที่จะคิดมากนัก  ดังเช่น การฝึกซ้อมเมื่อเกิดเหตุเพลิงใหม้ เพื่อถ้าเกิดเหตุเหล่านั้นจริง ๆ ก็จะสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างอัตโนมัติ
"เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย" (1ทิโมธี 4:8)

 ิั                                     by  http://www.followhissteps.com/web_christianstories/Sermons/mountain1.html

ผู้ที่มีใจบริสุทธิ์

"บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า(มัทธิว 5:8)

คนที่จะเข้าใกล้พระเจ้า อยากเข้าใกล้พระองค์ จะต้องมีใจบริสุทธิ์ เพราะพระองค์บริสุทธิ์ และสิ่งที่ออกมาจากใจก็สำคัญมาก และผู้ที่มีใจบริสุทธิ์ พระองค์ก็จะสามารถให้เขาเห็นได้
"แต่เพราะพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทั้งหลายนั้นบริสุทธิ์ ท่านทั้งหลายจงประพฤติให้บริสุทธิ์พร้อมทุกประการ" (1เปโตร 1:16)
กษัตริย์หลายองค์ของอิสราเอล พระเจ้าทรงนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม แม้ว่าเขาจะทำผิดมากมาย แม้ใจไม่บริสุทธิ์  ดังนั้น การที่มีใจบริสุทธิ์นั้น ต่างจากหิวกระหายความชอบธรรม การมีใจบริสุทธิ์นั้น ยิ่งกว่าความชอบธรรม ต้องหมดจด แล้วจึงจะได้เห็นพระเจ้า
ดังนั้น เราจะต้องตั้งเป้าหมายในชีวิตของเรา ที่จะมีใจบริสุทธิ์ แล้วเราจะได้เห็นพระเจ้า


by  http://www.followhissteps.com/web_christianstories/Sermons/mountain1.html

ผู้ี่ที่มีใจกรุณา

"บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ" (มัทธิว 5:7)

พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าแห่งการตอบแทน  ใครที่เชื่อฟังพระเจ้า กระทำตาม ก็จะได้รับการตอบแทน  แต่สิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชา กฎเกณฑ์ของพระเจ้า ทรงบัญชาเพื่อที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับและเจ้า และอีกส่วนหนึ่งคือเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเพื่อนบ้าน
ผู้ที่เชื่อฟัง พระเจ้าทรงตอบแทนเสมอ และพระเจ้าจะทรงรับประกันความพอใจของเรา
การที่พระเจ้าสั่งให้รักผู้อื่น ก็คือให้เรามีใจกรุณาต่อเขาเหล่านั้นนั่นเอง
พระเจ้าสั่งให้เรารักพระเจ้า และให้รักเพื่อนบ้าน  ดังนั้นเราจะต้องรักผู้อื่นเสมอ ต้องช่วยเหลือเพื่อนบ้าน และมีความกรุณาต่อผู้นั้น แม้กระทั่งศัตรูเอง เราก็ต้องรักเขา  ถึงแม้ว่าอาจจะดูว่าเป็นไปได้  แต่ว่าถ้าเราลองเริมที่จะเป็นเพื่อนบ้านของเขาเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่ดีกับเรา เราจะสามารถรักเขาได้ และเราจะได้รู้ว่าเป็นความยินดีเพียงใด ซึ่งมีแต่คนที่อยู่ฝ่ายวิญญาณ และผู้ที่อยู่ในแผ่นดินสวรรค์เท่านั้นที่จะทำได้ เราต้องเปิดใจให้กว้าง ๆ ยอมเชื่อฟัง
เราจะต้องทำตามแบบอย่างของหญิงชาวสะมาเรีย ที่พระเยซูทรงกล่าวไว้ในคำอุปมาของพระองค์เกี่ยวกับเพื่อนบ้าน ให้เราทำตัวแบบชาวสะมาเรียนั้น ที่ช่วยเหลือเพื่อนบ้าน แม้ว่าจะเป็นชนชาติที่เป็นศัตรูกัน
"29 แต่คนนั้นปรารถนาจะแก้ตัว จึงทูลพระเยซูว่า 'ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า'
30 พระเยซูตรัสตอบว่า 
'มีชายคนหนึ่งลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองเยรีโค และเขาถูกพวกโจรปล้น โจรนั้นได้แย่งชิงเสื้อผ้าของเขาและทุบตี แล้วก็ละทิ้งเขาไว้เกือบจะตายแล้ว
31 เผอิญปุโรหิตคนหนึ่งเดินลงไปทางนั้น เมื่อเห็นคนนั้นก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง
32 คนหนึ่งในพวกเลวีก็ทำเหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้วก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง
33 แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา
34 เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเอง พามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้
35 วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกว่า 'จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้'
36 ในสามคนนั้น ท่านคิดเห็นว่าคนไหนปรากฏว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น
'
37 เขาทูลตอบว่า 
'คือคนนั้นแหละที่ได้สำแดงความเมตตาแก่เขา' พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า 'ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด' (ลูกา 1:29-37)

                        
จะเห็นได้ว่า พระเยซูไม่ทรงกล่าวว่า ในที่สุดแล้ว ผู้ที่บาดเจ็บจะตอบแทนแก่ชาวสะมาเรียนั้นหรือไม่ ก็หมายถึงว่า พระองค์ไม่ต้องการที่จะให้เราหวังสิ่งตอบแทนหลังจากการช่วยเหลือแล้ว



         

ผู้ที่หิวกระหาย

"บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์" (มัทธิว 5:6)

เราคริสเตียน จะต้องพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลง เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์ ไม่ใช่ใคร ๆ ก็จะเข้าไปได้ง่าย ๆ  แผ่นดินสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่มาก ยอดเยี่ยมมาก ถ้าผู้ใดได้เห็นถึงความสง่างามของแผ่นดินสวรรค์ จะไม่มีใครที่ไม่ต้องการที่จะเข้าไปเลย และเป็นเป้าหมายของคริสเตียนเราที่จะเข้าไปอยู่ในแผ่นดินสวรรค์นั้น
"เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น" (2โครินธ์ 5:17)
เราจะต้องถูกสร้างใหม่ เราจึงจะสามารถเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ได้ เราต้องเข้ามาสู่กฎของพระวิญญาณเท่านั้น ซึ่งเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เราทั้งหลายเข้ามาอยู่ในกฎเหล่านี้
"1 เหตุฉะนั้นการลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลาย ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์
2 เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย" (โรม 
8:1-2)
เราต้องรู้ทันอุบายของมาร ต้องระวังคำล่อลวงของมาร ที่จะไม่ให้เรารักษาพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งอาจทำให้เราพลาดพลั้ง แต่อย่างไรก็ดี พระเจ้าก็ทรงรอคอยเราเสมอ ที่เราจะกลับมาหาพระองค์ กลับมาเชื่อฟังพระองค์  และพระเจ้าจะทรงวัดที่จุดสุดท้าย ณ วันพิพากษา
การเชื้อฟังนั้น ถ้าอาศัยกำลังจากเนื้อหนัง โดยไม่ได้ออกมาจากภายใจ อาจจะสามารถทำได้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดก็จะไม่สำเร็จ 
ในทางกลับกัน ถ้าการเชื่อฟังนั้น อาศัยกำลังจากพระวิญญาณในเรา เราก็จะทำได้จนสำเร็จในที่สุด
"และไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นหมักใหม่มาใส่ไว้ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นน้ำองุ่นหมักใหม่จะทำให้ถุงเก่านั้นขาดไป ทั้งน้ำองุ่นและถุงก็จะเสียไปด้วยกัน แต่น้ำองุ่นหมักใหม่นั้นต้องใส่ไว้ในถุงหนังใหม่" (มัทธิว2:22)
พระบัญญัติของพระเจ้าเข้มงวดมาก ถ้าเราไม่ได้เข้าอยู่ในพระวิญญาณ ในที่สุดก็จะพลาดพลั้ง  ดังนั้นเราต้องมาเรียนรู้ถึงวิถีทางฝ่ายวิญญาณ แล้วเราจะไม่พลาดพลั้ง เราจะพบความแตกต่างอย่างชัดเจน แล้วเราจะเป็นดังอาจารย์เปาโล ที่กล่าวว่า
"ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า" (ฟิลิปปี 4:13)
ดังนั้นอย่ากลัว แม้ว่าจะรู้สึกว่ายาก แต่ว่าเป็นสิ่งที่ง่ายมากสำหรับพระเจ้า
"25 เพราะว่าตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า
26 ฝ่ายคนทั้งหลายที่ได้ยินจึงว่า 
'ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้'
27 แต่พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำได้
(มัทธิว 18:25-27)
พระเจ้าอยากให้เราเป็นคนชอบธรรม ดังนั้นเราจะต้องหิวกระหาย ขวนขวายที่จะเป็นชอบธรรม ซึ่งเมื่อพระเจ้าเห็นเราหิวกระหายความชอบธรรมดังนี้ พระเจ้าก็จะทรงพอพระทัย และจะทรงประทานให้เราเป็นคนชอบธรรม ให้เราได้อิ่มบริบูรณ์ ดังนั้นชีวิตคริสเตียน เราจะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เพราะพระองค์จะทรงให้เฉพาะกับคนที่แสวงหาเท่านั้น
"กวางกระเสือกกระสนหาลำธาร ที่มีน้ำไหลฉันใด ข้าแต่พระเจ้า จิตวิญญาณของข้าพระองค์ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น" (สดุดี 42:1)
ผลที่จะได้ โดยการอยู่กับพระเจ้า เราก็จะมีประสบการณ์เหมือนกับกษัตริย์ดาวิด ดังในพระคัมภีร์สดุดี บทที่ 23
"1 พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน
2 พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ
3 ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์
4 แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์
5 พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่
6 แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคง จะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์" (สดุดี 23:1-6)
ดังนั้น เราก็จะรู้ตัวเอง ว่าเราจะต้องทำอย่างไร จึงจะเข้าไปอยู๋ในแผ่นดินสวรรค์ได้


by  http://www.followhissteps.com/web_christianstories/Sermons/mountain1.html                                                                        by  

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ผู้ที่มีใจอ่อนโยน

"บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก" (มัทธิว 5:5)

พระเยซูคริสต์ ทรงอ่อนสุภาพอย่างมาก  อ่อนโยน  ทรงช่วยผู้ที่เดือดร้อนเสมอ  พระองค์มิได้ทรงรังเกียจผู้ใด  แม้จะเป็นคนจน คนโรคเรื้อน คนเจ็บป่วย  พระองค์ก็ทรงใช้ความอ่อนโยน ช่วยคนเหล่านั้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด  เช่น พระองค์ทรงต้อนรับ นิโครเดมัส  แม้ว่าเขาจะไม่กล้ามาหาพระเยซูคริสต์ในเวลากลางวัน  แต่มาพบพระองค์กลางคืนเพราะไม่อยากให้ผู้ใดรู้  แต่พระองค์ก็ทรงต้อนรับเขาด้วยความยินดี  และในที่สุด  นิโครเดมัสก็เป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายพระองค์  ช่วยพูดแทนพระองค์ในสภาในภายหลัง
ความอ่อนโยน  นำไปสู่มิตรภาพ  มีแต่คนอยากอยู่ใกล้  พระคัมภีร์จึงได้กล่าวว่า  เราจะได้แผ่นดินโลกเป็นมรดก  เพราะผู้คนในโลกนี้ จะเป็นมิตรกับเรา  ไม่ใช่เฉพาะกับเด็กเท่านั้น  แต่กับทุกคน  แล้วจะนำไปสู่พระพรที่ได้รับจากพระเจ้า
ดังนั้น  อุปนิสัยนี้  ขอหนุนใจ ที่จะเป็นอุปนิสัยประจำตัวของคริสเตียน  ที่จะแสดงความอ่อนโยนกับทุกคน  ทำดีด้วยความเป็นมิตร ต่อศัตรู  เป็นสิ่งที่เราควรจะฝึก  เพราะเป็นอุปนิสัยของคนในแผ่นดินสวรรค์  แล้วเราจะมีประสบการณ์มากมาย
แม้บางคนบอกว่า "ไม่ใช่บุคลิกของฉัน"  ก็จำเป็นที่คนนั้นจะต้องเปลี่ยน  เพราะเป็นท่าที่ที่พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างให้แก่เรา
กับคนที่ไม่เป็นมิตรกับเรา  และมีท่าทีที่ไม่ดีต่อเรา  เราก็จำเป็นต้องระมัดระวังตัว  แต่เมื่อพูดคุยกับคนเหล่านั้น  เราก็ควรจะควบคุมตนเอง  และแสดงกิริยาที่อ่อนสุภาพอ่อนโยนเสมอ  อย่าพูดด้วยความโกรธ  อย่าโต้ตอบด้วยอารมณ์  แม้เสียงจะไม่นุ่มนวลเหมือนการพูดกับมิตร  แต่เราก็ต้องควบคุมท่าที่  ต้องยึดไว้ให้มั่น
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า  แค่ อย่างนี้  ก็ไม่ง่ายที่จะประพฤติตาม  แต่เราต้องตระหนักเสมอว่า  เป็นอุปนิสัยที่เราจะต้องฝึกฝน และประพฤติตาม  เพราะเป็นอุปนิสัยของชาวสวรรค์ ในการที่อาศัยในแผ่นดินสวรรค์
ทั้งหมดทุกสิ่งนี้  ก็อยู่ในพระบัญญัติข้อที่ ที่พระเยซูทรงตรัสสั่งพวกเราไว้  นั่นคือ
"29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า 'ธรรมบัญญัติเอกนั้นคือว่า โอ ชนอิสราเอลจงฟังเถิด พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าเดียว
30 และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน
31 และธรรมบัญญัติที่สองนั้นคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี' " (ลูกา 10:29-31)
บางคนอาจจะอ้างถึงตอนที่พระเยซูทรงโกรธเมื่อพระองค์ทรงเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในพระวิหาร  แต่เราต้องทำความเข้าใจว่า  พระองค์ทรงโกรธในสิ่งที่ผิดต่อพระเจ้า  ไม่ใช่สิ่งที่ผิดต่อพระองค์
แต่สำหรับคนเหล่านั้นที่แสดงท่าทีที่ไม่ดี  หยาบคายต่อพระองค์  พระองค์ก็ยังคงทรงแสดงกิริยาที่สุภาพเสมอ  แม้กระทั่งกับคนที่เฆี่ยนตีพระองค์  ผู้ที่กล่าวคำดูถูกพระองค์  ทำร้ายพระองค์
อาจารย์เปาโลได้กล่าวว่า
"26 จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่
27 และอย่าให้โอกาสแก่มาร" (เอเฟซัส 
4:26-27)

ผู้ที่โศกเศร้า

"บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม" (มัทธิว 5:4)

โมเสส  กษัตริย์ดาวิด รวมถึงพระเยซูคริสต์  ได้กล่าวไว้สอดคล้องกัน  ให้เราช่วยเหลือผู้ที่ยากลำบาก  ผู้ที่โศกเศร้า เสมอ ๆ
พระเยซูได้ทรงกล่าวคำอุปมาหนึ่ง  เกี่ยวกับ ลาซารัส และเศรษฐี
เราจึงต้องเรียนรู้พระทัยพระเจ้าของเรา  เราต้องกลับมามองว่า แล้วเราจะเข้ามาอยู่สภาพนี้ได้อย่างไร  เพื่อเราจะได้รับการปลอบประโลม
ระเยซูได้ทรงกล่าวว่า  ในโลกนี้  เราจะต้องประสบความทุกข์ยาก  เพราะเราจะต้องรับความข่มเหง การต่อต้าน และถ้าเราได้มีประสบการณ์ แล้วรู้สึกเศร้าโศก  เราก็จะได้รับการปลอบประโลม  และเราก็จะเป็นสุข
แต่ถ้าเราหนีจากความยากลำบากเหล่านั้น  พระเจ้าก็จะไม่พอพระทัย  เราก็จะไม่ได้รับการปลอบประโลม และพลาดจากพระพรอันนี้
ดังนั้น  สิ่งที่เราจะต้องทำคือ  เตรียมพร้อมที่จะรับประสบการณ์เหล่านี้  พร้อมที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากต่าง ๆ เตรียมพร้อมสำหรับความเศร้าโศกที่จะได้รับ  เพื่อที่จะนำเราไปสู่การได้รับการปลอบประโลม  และจะได้รับความสุขที่ยิ่งใหญ่  นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องปรับความคิดของเรา
พระเยซูทรงตรัสว่า
"เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว" (ยอห์น 16:33)
ตัวอย่างที่ดี  คือ  อาจารย์เปาโล  ผู้ซึ่งเข้าใจในสิ่งนี้เป็นอย่างดี  ยอมละทิ้งความสบายจากการเป็นฟาริสี  มาสู่ความยากลำบาก  เพราะอาจารย์เปาโลเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย  เทียบไม่ได้กับความสุข พระพรอันยิ่งใหญ่ ที่ท่านจะได้รับในภายภาคหน้า
ดังนั้น  เราจึงควรชิมดู  จะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ "หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง"  และอย่ากลัว
 "ความยำเกรงพระเจ้านั้นสะอาดหมดจด ถาวรเป็นนิตย์ กฎหมายของพระเจ้าก็สัตย์จริง และชอบธรรมทั้งสิ้น
10 น่าปรารถนามากกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองนพคุณมากนัก หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งที่หยดลงจากรวง" (สุดี 
19:9-10)
นี่เป็นอย่างที่ 2  ที่เราจะต้องทำความเข้าใจ
ทุกวันนี้  คนเป็นจำนวนมาก บ้าหวย  ต้องการที่จะร่ำรวย  มีเรื่องจากชีวิตจริงเรื่องหนึ่ง  ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้น
มีสองสามีภรรยา  ฐานะยากจน  ทั้งคู่ช่วยกันทำมาหากิน  อยู่กันด้วยความรักใคร่  จนกระทั่งวันหนึ่ง  ถูกลอตเตอรี่  ทั้งคู่จึงดีใจเป็นอย่างมาก  และซื้อของมากมาย
หลังจากที่มีฐานะ  พฤติกรรมของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป  สามี จากที่เคยรักใคร่ภรรยา  ก็มีพฤติกรรมนอกใจภรรยา  ไปมีภรรยาน้อย ภรรยาจึงได้ใคร่ควรญว่า  ตอนที่ยากจน  ไม่มีเงิน แต่มีสามี  แต่พอร่ำรวย  มีเงิน แต่ไม่มีสามี  และได้พูดคุยกับสามี  แต่สามีไม่ยอม  และกล่าวคำที่ให้เกิดความเจ็บช้ำน้ำใจแก่ภรรยาว่า "เพราะตอนนั้นจน จึงต้องทนอยู่กับเธอ"  ผลสุดท้าย  ทั้งคู่ต้องแยกทางกัน  สามีก็ไปมีภรรยาใหม่
จากเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า  เป็นบทเรียนว่า  ความสุขในโลกนี้  ตัณหาของโลกนี้ มีสิ่งล่อลวงเป็นอย่างมาก  แต่วิถีทางของพระเจ้านั้น  เป็นวิถีทางที่มีความสุขอย่างแท้จริง


ผู้เป็นสุข


"3 บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
4 บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม
5 บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
6 บุคคลผู้ใดหิวกระหาย ความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่มบริบูรณ์
7 บุคคลผู้ใดมีใจกรุณา ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับพระกรุณาตอบ
8 บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า
9 บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่าเป็นบุตร
10 บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
11 เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข
12 จงชื่นชมยินดี เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน" (มัทธิว 
5:3-12)

"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""


ผู้ที่รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ

"บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา" (มัทธิว 5:3)

คนที่ผู้ในแผ่นดินสวรรค์  จะเป็นสุข เมื่อรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ  รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนบาป  ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้สิ่งที่จะแก้ไข  เปลี่ยนจากความบกพร่อง ไปสู่ความสมบูรณ์
โรม 3:23  ตั้งแต่สมัยอาดัม  จิตวิญญาณของเราบกพร่องตั้งแต่เริ่มแรก
"เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า" (โรม 3:23)
กษัตริย์ดาวิด  ได้กล่าวไว้ใน สดุดี 32  ซึ่งจะอธิบายห้เราเห็นภาพ และเข้าใจยิ่งขึ้น
"1 บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น 
2
 บุคคลซึ่งพระเจ้ามิได้ทรงถือโทษก็เป็นสุข คือผู้ที่ไม่มีการหลอกลวงในใจของเขา 
3
 เมื่อข้าพระองค์ไม่แจ้งบาปของข้าพระองค์ ร่างกายของข้าพระองค์ก็ร่วงโรยไป โดยการคร่ำครวญวันยังค่ำของข้าพระองค์ 
4
 พระหัตถ์ของพระองค์หนักอยู่บนข้าพระองค์ทั้งวันทั้งคืน กำลังของข้าพระองค์ก็เหี่ยวแห้งไปอย่างความร้อนใน หน้าแล้ง 
5
 ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์ และข้าพระองค์มิได้ซ่อนบาปผิดของข้าพระองค์ไว้ ข้าพระองค์ทูลว่า ข้าพระองค์จะสารภาพการละเมิดของ ข้าพระองค์ต่อพระเจ้าแล้วพระองค์ทรงยกโทษบาปของข้าพระองค์" (สดุดี 32:1-5) 
เมื่อเราได้รู้จักพระเจ้า  เราก็รู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงยอมสิ้นพระชนม์บนกางเขน  ซึ่งนำไปสู่การอภัยการละเมิด ความผิดบาปของเรา  ทำให้เราพ้นจากพระอาชญา
ทั้งอาจารย์เปโตร และอาจารย์เปาโล ได้กล่าวว่า "ให้เราซาบซึ้งในความรักของพระเจ้า"  เพราะถ้าหากเราไม่ได้รับการอภัย  เราก็จะพินาศ  ดังนั้น  เมื่อเรารู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ก็จะนำเราสู่การสารภาพ  เราก็จะได้รับการอภัย  พ้นจากพระอาชญา  ความสุขก็จะเป็นของเรา
เราจึงต้องปรับความเข้าใจของเราใหม่  ว่าการที่เราได้รับการอภัยโทษบาป  จะทำให้เราเกิดสันติสุข  และถ้าเราสารภาพบาปของเรา  ได้รับการอภัยแล้ว  แต่ไม่รู้สึกซาบซึ้งเท่าที่ควร  ก็หมายถึงว่าเราไม่มีความเข้าใจ  ไม่รู้ว่าชาวแผ่นดินสวรรค์นั้นเกรงกลัวพระอาชญาขนาดไหน  และการได้รับอภัย ไม่ต้องพินาศ ทำให้เกิดสันติสุขมากเพียงใด
จึงอยากให้พวกเราได้เรียนรู้  ทุกครั้งที่เราได้สารภาพ  ให้เรานึกเสมอว่า "บุคคลผู้ซึ่งได้รับอภัยการละเมิดแล้วก็เป็นสุข คือผู้ทรงกลบเกลื่อนบาปให้นั้น"  เมื่อเราสารภาพแล้ว  เราควรจะมีความสุข
ถ้าไม่รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ -->  ไม่มีการกลับใจ -->  นำไปสู่ความพินาศในที่สุด
"ถ้าใจของเรากล่าวโทษตัวเราเมื่อไร เราก็จะรู้ว่า เราอยู่ฝ่ายสัจจะและใจเราจะหมดกังวลจำเพาะพระองค์" (1ยอห์น 3:19)
การกล่าวโทษในที่นี้  คือการที่พระเจ้าทรงเตือนเรา ผ่านทาง "มโนธรรม" ในจิตใจของเรา
เมื่อมโนธรรมเราฟ้องว่า เราทำผิด  จึงเป็นสิ่งที่ดี  เพียงแต่อย่าดื้อ  ต้องรีบสารภาพบาปของเรา  อย่าฝืน "จิตสำนึกผิดชอบ" หรือ "มโนธรรม"
เมื่อเราติดสนิทกับพระเจ้า  เติบโตยิ่งขึ้น  "จิตสำนึกผิดชอบ" จะไวมากขึ้นเพราะพระเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง
"21 ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ได้กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า 
22
 และเราขอสิ่งใดๆ เราก็ได้สิ่งนั้นๆจากพระองค์ เพราะเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และปฏิบัติตามชอบพระทัยพระองค์" (1ยอห์น 3:21-22)
ถ้าใจเราไม่ได้กล่าวโทษเรา  แสดงว่าเรามีชีวิตที่สมบูรณ์ขึ้น  ซึ่งนำไปสู่พระสัญญาที่ว่า  ถ้าเราขอสิ่งใด เราก็จะได้รับสิ่งนั้น 
 ซึ่งเป็นพระพรฝ่ายวิญญาณ  แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เรารู้สึกบกพร่อง --> สารภาพ -->  ปรับปรุงแก้ไขจนสมบูรณ์ ประพฤติชอบตามพระทัยของพระองค์